วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2557

บริเวณวงโค้งแห่งความอุดมสมบูรณ์

     บริเวณ"วงโค้งแห่งความอุดมสมบูรณ์" (Fertile Crescent) ปุจจุบันคือที่ตั้งของประเทศอีรัค ซีเรีย เลบานอน จอร์แดน อิสราเอล และอียิปต์ ดินแดนดังกล่าวนี้มีความอุดมสมบูรณ์ขึ้นมาเพราะมีแม่น้ำใหญ่ 4 สาย คือแม่น้ำไทกรัส แม่น้ำยูเฟรตีส แม่น้ำจอร์แดน และแม่น้ำไนล์ พัดพาเอาปุ๋ยธรรมชาติมาทับถมไว้ตามบริเวณชายฝั่ง ซึ่งเป็นบริเวณที่ราบทอดตัวเป็นแนวโค้งคลุมพื้นที่หลายประเทศแต่เมื่อเลยบริเวณวงโค้งแห่งความอุดมสมบูรณ์ออกไปแล้ว กลายเป็นท้องทะเลทรายกว้างใหญ่ไพศาลโอบรอบวงโค้งแห่งนี้ไว้ทุกทิศทางยกเว้นบริเวณชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

     วงโค้งแห่งความสมบูรณ์แห่งนี้เองเป็นจุดเกิดอารยธรรมแห่งแรกของโลก กสิกรกลุ่มแรกเมื่องแรกของโลก การประดิษฐ์ตัวอักษรเพื่อใช้เขียนหนังสือครั้งแรกของมนุษย์ และการประดิษฐ์สิ่งสวยงามไว้บนโลหะเป็นครั้งแรก  เกิดขึ้นมาในดินแดนวงโค้งแห่งความอุดมสมบูรณ์แห่งนี้เมื่อหลายพันปีมาแล้ว

     แม่น้ำไหลมาจากภูเขาทุกๆ ปีเป็ฯเวลาช้านานหลายพันปี เมื่อฝนตกลงมาและหิมะบนภูเขาละลาย จึงมีลำธานเล็กๆ ส่งน้ำไปให้แม่น้ำสายใหญ่ พลังงานของน้ำได้พาโคลนตมตามไปด้วยเป็นระยะทางหลายร้อยไมล์ และเมื่อน้ำขึ้นท่วมท้นฝั่งจึงพาเอาโคลนตมทับถมไว้ในบริเวณรอบๆริมฝั่งเมื่อน้ำลดลงไปจึงทิ้งโคลนตมซึ่งอุดมไปด้วยปุ๋ยไว้ที่นั้น  เมื่อเวลาผ่านไปนานหลายพันปีพื้นที่จะกว้างใหญ่ขึ้นรุกไล่บริเวณท้องทะเลให้ถอยห่างออกไป

     โคลนตมที่น้ำพัดพามาถมไว้มีความอุดมสมบูรณ์มาก ดินแดนในบริเวณนี้จึงเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์  การมีพื่นที่อุดมสมบูรณ์ด้วยปุ๋ยธรรมชาติ และมีภูมิอาาศร้อน ทำให้บริเวณนี้มีความเหมาะสมในการประกอบเกษตรกรรมดีที่สุด ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาอยู่แล่วที่มนุษย์ซึ่งร่อนเร่พเนจรมาช้านาน  จึงค้นพบว่าบริเวณนี้เหมาะสมในการตั้งถิ่นฐานสร้างสังคมเกษตรกรรมขึ้นมาเป็นครั้งแรกเมื่อมนุษย์รู้จักการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์  แทนที่จะต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ล่าสัตว์เหมือนอย่างที่ได้ปฎิบัติมาช้านานก่อนหน้านั้น ชีวิตที่สุขสบายยิ่งกว่าก่อนและมีเวลาเหลือพอที่จะไปทำกิจกรรมอื่นๆดังนั้นจีงเริ่มสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมา พยายามหาวัสดุใหม่มาใช้ และยังมีเวลาศึกษาหาความรู้เกียวกับโลกที่เขาอยู่ พยายามเข้าใจปรากฎการณ์ของธรรมชาติ เช่นเรื่องราวของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ฤดูกาล ฝนตก น้ำท่วม ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ชีวิตและความตาย เรื่องราวเหล่านี้เองกลายเป็นจุดกำเนิดของงานศิลปวิทยาการและศาสนาให้กับสังคมเกษตรกรรม

     เมื่อกาลเวลาผ่านไปและในไม่ช้าเมื่ออรายธรรมของสังคมเกษตรกรรมก้าวหน้าขึ้น มนุษย์ก็เริ่มต้นค้นหาวิธีบันทึกเรื่องราวต่างๆ ไว้เป็นหลักฐาน เพื่อประโยชน์ทางการค้า ชีวิตประจำวัน สิ่งที่มนุษย์ในสังคมได้แนะนำ รวมทั้งเรื่องการค้นพบแนวความคิดและความเชื่อทางศาสนา เพื่อสนองความต้องการของสังคมที่เติบโตขึ้น และเพื่อส่งผ่านไปให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ ดังนั้นสังคมเกษตรกรรม จึงเป็นจุดเริ่มต้นของอารยธรรมดีกว่าสังคมยุคร่อนเร่เนจรที่มนุษย์ปฎิบัติมาแล้วประมาณ 40,000 ปีก่อนหน้านั้น นับตั้งแต่โฮโมซาเปียนหรือมนุษย์ปัจจุบันเกิดขึ้นมา

     ทางบริเวณด้านตะวันตกของ วงโค้งแห่งความอุดมสมบูรณ์ มีแม่น้ำไนล์ซึ่งมีจุดกำเนิดจากภูเขาและทะเลสาบในแอฟริกากลางไหลเป็นระยะทางมากกว่า 4,000 ไมล์ลงสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนถ้าหากว่าไม่มีแม่น้ำไนล์สายนี้ ดินแดนทั้งหมดของประเทศอียิปต์คงเป็นทะเลทรายไปแล้ว ต่เพราะแม่น้ำไนล์จึงมีประชากรดำรงชีวิตเป็นเกษตรกรรมและมีชีวิตอารยะอยู่ในอียิปต์นานมากกว่า 5,000 ปีมาแล้ว

     แม่น้ำจอร์แดนไหลจากบริเวณเทือกเขาของเลบานอนลงสู่ทะเลมรณะ (Dead Sea) ประชากรในบริเวณกลุ่มแม่น้ำสายนี้ได้สร้างสังคมเกษตรกรรม และได้สร้าง มืองเจริโก้ (Jericho) ขึ้นนับว่าเป็นเมืองเก่าแก่ที่สุดของโลก

     บริเวณชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งติดต่อกับวงโค้งแห่งความอุดมสมบูรณ์ ผู้คนที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้เรียกว่าชาวฟินีเซีย ซึ่งได้สร้างเมืองไทร์ (Tyre) และเมือง ไซดอน (Sidon) ขึ้นมาตรงริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทำให้ชาวฟินีเซียกลายเป็นนักการค้า และนักเดินเรือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกยุคเก่า ยุคแรกๆ ของมนุษย์ที่เริ่มต้นตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่ง

     ทางบริเวณตะวันออกของบริเวณ วงโค้งแห่งความอุดมสมบูรณ์ ในบริเวณที่ราบระหว่างแม่น้ำยูเฟรตีสและไทกรีส ซึ่งเป็นสองแม่น้ำส่ยใหญ่ไหลลงสู่อ่าวเปอร์เซีย (Persian Gulf) นับเป็นจุดสำคัญที่สุดของการตั้งถิ่นฐานและอารยธรรม ดินแดนระหว่างแม่น้ำยูเฟรตีส - ไทกรีส เรียกว่า "เมโสโปตาเมีย" (Meso Potamia) และในบริเวณดังกล่าวนี้เองเป็นจุดเริ่มต้นของอารยธรรมยิ่งใหญ่ที่สุด กล่าวคือประมาณ 4,000 ปีก่อน ค.ศ. หรือประมาณเกือบ 6,000 ปีมาแล้ว มีประชากรกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นนักประวัติศาสตร์เรียกว่าชาวสุเมเรีย (Sumerian) ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณที่ราบระหว่างแม่น้ำทั้งสอง ผลจากการประกอบการเกษตรกรรมบนแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ของชาวสุเมเรียทำให้ชาวสุเมเรียร่ำรวยและมีอำนาจสร้างเมืองใหญ่โต และประดิษฐ์อักษรขึ้นใช้เป็นครั้งแรกของโลก ความเจริญรุ่งเรืองของสุเมเรียนานกว่า 2,000 ปี อารยธรรมของสุเมเรียถูกทำลายไปในสมัยที่ชาวยุโรปส่วนใหญ่รวมทั้งอังกฤษยังคงใช้ชีวิตร่อนเร่ล่าสัตว์


  ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือประวัติศาสตร์โลก



วันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2557

ยุคอารยธรรมเบื้องต้น


     ภายหลังที่โฮโมซาเปียนหรือมนุษย์แบบปัจจุบันเกิดขึ้นมาบนโลกนี้เป็นครั้งแรก เมื่อประมาณ 50,000 ปีมาแล้ว พอถึงประมาณ 30,000 ก่อน ค.ศ. มนุษย์ก็็เดินทางไปอยู่ในดินแดนต่างๆทุกทวีปรวมทั้งในทวีปออสเตรเลีย (เป็นชาวพื้นเมื่องเดิมของออสเตรเลีย) และทวีปอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้และบริเวณหมู่เกาะใกล้เคียงในคาริบเบียน (เรียกว่าชาวอินเดียแดง) รวมทั้งในหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิค มนุษย์ใช้เวลาประมาณ 20,000 ปีในการเดินทางร่อนเร่เพื่อเสาะแสวงหาถิ่นฐานที่อยู่จนขยายเผ่าพันธุ์ปกคลุมทั้วโลก 20,000 ปีแห่งการร่อนเร่พเนจร  สังคมมนุษย์ยังไม่ปรากฎหลักฐานว่ามีการตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่ง  แต่ดำเนินชีวิตอยู่ได้ด้วยการอาศัยอยู่ภายในถ้ำรู้จักสร้างอาวุธทำด้วยหินและกระดูกสัตว์  สำหรับล่าสัตว์ใหญ่เป็นอาหาร  รู้จักการใช้ไฟและสวมเสื้อผ้า  รู้จักล่าปลาด้วยฉมวก  รู้จักสร้างคันธนูและลูกธนูเป็นอาวุธ  นอกเหนือจากอาวุธทำด้วยหินยังไม่รู้จักการใช้โลหะ   อย่างไรก็ดีถึงจะใช้ชีวิตร่อนเร่หาผลไม้และสัตว์เป็นอาหารเรื่อยไปเป็นเวลายาวยาน  แต่มนุษย์เริ่มมองปัญหาของชีวิตและสภาพแวดล้อม  มีความคิดทางด้สนนามธรรมอย่างกว้างขวาง  รู้จักใช้ภาษาพูดเป็นสื่อกลาง  มีสติปัญญาสูงกว่าโฮมินิดทุกพันธุ์ที่โลกเคยมีมาก่อนร่วมทั้งโฮโม อีเลคตัส

     ภายหลังที่มนุษย์ใช้เวลาประมาณ 20,000 ปีในการเดินทางขยายเผ่าพันธุ์ไปทั้วโลกแล้วหลังจากนั้นก็ยังใช้ชีวิตร่อนเร่ต่อไปอีกประมาณ 20,000 ปี จนถึงประมาณ 10,000 ปีก่อน ค.ศ.
มนุษย์จึงเริ่มต้นตั้งถิ่นฐาน  การเริ่มต้นตั้งถิ่นฐานคือจุดเรื่อมต้นอารยธรรมของมนุษย์  ตลอดเวลา  40,000 ปีก่อน ค.ศ. จึงจัดเป็นช่วงเวลาที่สังคมมนุษย์ยังอยู่ในระดับอนารยะโดยทั่วไป

     อย่างไรก็ดีก่อนตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่งสร้างบ้านเรือนขึ้นมาก่อนถึงปี 10,000 ปีก่อนค.ศ.นั้น  มนุษย์ในช่วงเวลา 50,000 - 10,000 ปีก่อน ค.ศ. ได้ทิ้งร่องรอยไว้ว่าเริ่มต้นรักงานทางด้านศิลป์  เช่น  เขียนภาพสัตว์  และการล่าสัตว์ไว้ตามผนังถ้ำที่ตนอาศัยอยู่   ในขณะเดียวกันมนุษย์ในช่วงแรกดังกล่าวเริ่มต้นมีความเชื่อทางศาสนาโดยเฉพาะความเชื่อในเรื่องวิญญาณ  ไสยศาสตร์และเวทมนต์คาถา  ซึ่งทิ้งร่องรอยไว้ให้เห็นในบริเวณที่อยู่อาศัย

     ประมาณ 10,000 ปีมาแล้วชาวสุเมเรียในเมโสโปตาเมียดินแดนระหว่างลุ่มแม่น้ำไทกรีสยูเฟรตีส  ในตะวันออกกลางเป็นประชาชนกลุ่มแรกที่เริ่มต้นสร้างสังคมเกษตรกรรมขึ้นมาในบริเวณดังกล่าวเป็นการเริ่มต้นตัวอย่างให้มนุษย์รอบๆ  บริเวณนั้นมองเห็นความจริงว่า  การตั้งถิ่นฐานโดยการทำเกษตกรรมนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่มนุษย์ สังคมของชาวสุเมเรียรุ่งเรือง ชาวสุเมเรียนสร้างบ้านเรือนใหญ่โต เป็นสังคมที่ก้าวหน้ามีการปกครองที่มีระเบียบ มีทหารป้องกันบ้านเมือง มีเกษตรกรรมทำการเพาะปลูก เมื่ออารยธรรมของชาวสุเมเรียก้าวหน้าขึ้นความจำเป็นต้องใช้ตัวอักษรเพื่อการเขียนหนังสือก็เกิดขึ้น ในที่สุดชาวสุเมเรียก็ประดิษฐ์ตัวอักษรเขียนหนังสือเพื่อบันทึกเรื่องราวต่างๆไว้สำหรับสร้างอารยธรรมของตนให้ก้าวหน้าต่อไป

     ความสำเร็จของชาวสุเมเรียเป็นที่ริษยาของชาวเซไม้ท์ซึ่งยังคงใช้ชีวิตร่อนเร่พเนจร  เลี้ยงสัตว์และล่าสัตว์อย่างบรรพบุรุษของตนที่เคยปฎิบัติมาช้านาน  และยังไม่มีการตั้งถิ่นฐานเป็นสังคมเกษตรกรรมอย่างชาวสุเมเรีย  พวกชาวเซไม้ท์จึงยกกำลังทำลายเมืองของชาวสุเมเรียในเวลาต่อมานอนจะเอาทรัพย์สินเงินทองของชาวสุเมเรียที่สะสมไว้ไปแล้ว  ชาวเซไม้ท์ยังรับเอาอารยธรรมของสุเมเรียไปใช้โดยจัดตั้งบ้านเมืองและทำเกษตรกรรมขึ้นมา  และเอาตัวอักษรของสุเมเรียมาพัฒนาต่อไป  นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงสังคมครั้งสำคัญของมนุษย์ เพราะนับตั้งแต่นี้ไปมนุษย์ในบริเวณตะวันออกกลางเลยไปจนถึงในอียิปต์และแถบเมดิเตอร์เรเนียน เริ่มต้นละชีวิตร่อนเร่หันมาสร้างบ้านเมืองตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่ง  มีการทำเกษตรกรรมเป็นฐานเศรษฐกิจ  สร้างระบบการปกครองที่มีระเบียบจนมีอักษรใช้เขียนในที่สุด

     ดังนั้น  การเริ่มต้นสร้างสังคมเกษตรกรรมคือจุดเริ่มต้นของอารยธรรม  ซึ่งเริ่มต้นในบริเวณตะวันออกกลางและเอเชียอาคเนย์  เมื่อประมาณ 10,000 ปีมาแล้วโดยชาวสุเมเรียอาจเป็นผู้เริ่มต้นก่อน หลังจากนั้นสังคมเกษตรกรรมก็แพร่หลายต่อไปในเวลาต่อมาจนคลุมบริเวณทั่วโลกในที่สุด

     การแบ่งยุคประวัติศาสตร์โดยยึดเอาเรื่องราวของมนุษย์จริงๆ เป็นหลักฐานดังได้กล่าวแล้วจึงควรเริ่มต้นนับตั้งแต่มนุษย์แบบปัจจุบันเกิดขึ้นมาบนโลกนี้  ส่วนเรื่องราวของโฮมินิดพันธุ์ต่างๆก่อนยุคมนุษย์แบบปัจจุบัน  ไม่ใช้ประวัติศาสตร์ของมนุษย์เพราะเป็นเพียงสัตว์คล้ายมนุษย์เท่านั้นและได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้วเหมือนกับการสูญพันธุ์ของสัตว์พันธุ์ต่างๆ 


สรุปได้ว่าประวัติศาสตร์ของมนุษย์มีขั้นตอนดังนี้

50,000 ปีก่อน ค.ศ.                   มนุษย์แบบปัจจุบันเริ่มเกิดเป็นการเริ่มต้นประวัติศาสตร์ขอมนุษย์
50,000 - 10,000 ปีก่อนค.ศ.    เป็นยุคสังคมอนารยะของมนุษย์
10,000 ปีมาแล้ว                       เริ่มต้นสังคมเกษตรกรรมและอารยธรรม
5,000 ปีก่อน ค.ศ.                     มนุษย์เริ่มต้นใช้ตัวอักษรเขียนหนังสือเป็นผลมาจากอารยธรรม
                                                   ของสังคมเกษตรกรรมก้าวหน้ามากขึ้น 





ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือประวัติศาสตร์โลก

วันเสาร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2557

ยุคประวัติศาสตร์ - ยุคก่อนประวัติศาสตร์


     เมื่อเราปฎิเสธไม่ยอมรับการแบ่งยุคประวัติศาสตร์ที่นักประวัติศาสตร์ได้แบ่งไว้   ตามหลักฐานที่นักโบราณคดีค้นพบเคริ่องมือทำด้วยหินเป็น "ยุคหิน" ดังกล่าวแล้วว่าเป็นการแบ่งยุคประวัติศาสตร์ของมนุษย์ไม่ถูกต้องตามสภาพความเป็นจริง  เราจึงสมควรแบ่ง  ยุคประวัติศาสตร์ก่อนประวัติศาสตร์ของมนุษย์  อย่างไรจึงจะถูกต้อง  มองเห็นอารยธรรมของมนุษย์ได้อย่างชักเจนผู้เขียนขอเสนอแนวทางให้พิจารณากันใหม่ดังนี้ 

     1. ประวัติศาสตร์ของมนุษย์แบบปัจจุบันเริ่มต้นประมาณ 50,000 ปี ก่อน ค.ศ. ก่อนหน้านี้ขึ้นไปเป็นประวัติศาสตร์ของโฮมินิดพันธุ์อื่นๆ ไม่ใช้มนุษย์แบบปัจจุบัน  และถือว่าเป็นยุคที่ยังไม่มีมนุษย์แบบปัจจุบันเกิดขึ้นมาเลย ส่วนที่แบ่งกันไว้แต่เดิมว่ายุคหินเก่า หินกลาง และ หินใหม่ เริ่มตั้งแต่ 2 ล้านปีมาแล้วนั้นควรเป็นเรื่อง "ประวัติศาสตร์เครื่องมือหิน" แยกไว้อีกเรื่องหนึ่งต่างหาก สำหรับนักโบราณคดีโดยตรง และไม่ถือว่าเป็นเครื่องมือที่มนุษย์ทำขึ้น นอกจากว่าจะมีอายุตั้งแต่ 50,000 ปี ลงมาจนถึงปัจจุบัน

     2. ถ้าหากเรายอมรับกันว่ายุคเริ่มต้นประวัติศาสตร์ของมนุษย์เริ่มต่นเมื่อ 50,000 ปีที่ผ่านมา เวลาที่เกินกว่า 50,000 ปีขึ้นไป  ก็หมายความว่าเป็นเวลาก่อนประวัติศาสตร์ของมนุษย์  ปัญหาจึงมีต่อไปว่าการที่นักประวัติศาสตร์แต่เดิมกำหนดไว้ว่า  ประวัติศาสตร์เริ่มตั้งแต่มนุษย์เริ่มรู้จักการเขียนหนังสือเป็นครั้งแรก เมื่อประมาณ 5,000 ปี ก่อน ค.ศ. ในสุเมเรีน ก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย

     การที่นักประวัติศาสตร์ได้แบ่งไว้ว่าประวัติศาสตร์เริ่มต้นเมื่อประมาณ 5,000 ปีก่อน ค.ศ. นั้นความจริงหมายถึงว่าก่อนหน้านั้นไม่มีประวัติศาสตร์ของมนุษย์เขียนไว้ให้รู้เป็นตัวอักษร  ต่อเมื่อมนุษย์เริ่มต้นรู้จักการใช้ตัวอักษรเขียนไว้เป็นเรื่องราวมนุษย์ในรุ่นต่อมาจึงเรียนรู้เรื่องต่างๆ ในสมัยประมาณ 5,000 ปีก่อน ค.ศ. ดังนั้นนักประวัติศาสตร์จึงกำหนดไว้ว่าประวัติศาสตร์เริ่มต้นเมื่อประมาณปี 5,000 ปีก่อน ค.ศ.  เพราะเป็นช่วงเวลาแรกที่ชาวสุเมเรยในบริเวณกลุ่มแม่น้ำไทรกรีสยูเฟรตีส - ในตะวันออกกลาง  เริ่มใช้ตัวอักษรเขียนเป็นหนังสือไว้  การที่กำหนดไว้เช่นนี้เป็นการถูกต้องในแง่การศึกษาประวัติศาสตร์ของมนุษย์ให้ดียิ่งขึ้น  แต่ความจริงประวัติศาสตร์ของมนุษย์เกิดก่อน "รู้จักการเขียนหนังสือ" นานแล้ว  การรู้จักการเขียนหนังสือของมนุษย์เป็นผลมาจากสังคมมนุษย์เริ่มมีอารยธรรมมากแล้ว  กล่าวคือมีสังคมที่เป็นปึกแผ่นแน่นหนา มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นมาในสังคม เช่น การปกครอง การสงคราม การค้า และ ฯลฯ จนมนุษย์ต้องดิ้นรนหาทางบันทึกเรื่องราวต่างๆ ไว้เป็นตัวหนังสือ ดังนั้นการที่กำหนดไว้ว่า ประวัติศาสตร์เริ่มต้นเมื่อมนุษย์รู้จักการเขียนหนังสือเมื่อ 5,000 ปีก่อน ค.ศ. จึงมองดูคล้ายๆ กับว่าช่วงเวลา 5,000 ปีก่อน ค.ศ. มนุษย์ยังไม่มีประวัติศาสตร์ ซึ่งถึงแม้จะถูกต้องถ้าหากมองดูว่ายังไม่มีการบันทึกเรื่องราวไว้ แต่ความจริงนั้น การที่มนุษย์ใช้ตัวหนังสือเป็นเพราะมนุษย์มีเรื่องราวในประวัติศาสตร์มากมายนั้นเอง  ถ้าหากไม่มีการเขียนหนังสือไว้ ก็ไม่สามารถควบคุมสังคมและพัฒนาสังคมของตนได้  จึงสรุปได้ว่าการมีอักษรใช้เพื่อเขียนหนังสือแสดงว่าสังคมนั้นเริ่มมีอารยธรรมก้าวหน้า  ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านั้นเป็นยุค "ก่อนประวัติศาสตร์" ซึ่งทำให้เกิดความไขว้เขวว่าเป็นสังคมอนารยะจนกว่าจะมีตัวอักษรใช้  ซึ่งตรงกันข้ามการมีหนังสือใช้เป็นผลมาจากสังคมได้ผ่านขั้นตอนของอนารยะมาแล้ว 

     จากเหตุผลดังกล่าวผู้เขียนหนังสือเล่มนี้จึงมองเห็นว่าการแบ่งยุคประวัติศาสตร์อีกช่วงหนึ่งของมนุษย์โดยกำหนดเอาว่าการเริ่มต้นรู้จักเขียนหนังสือครั้งแรกของชาวสุเมเรียเมื่อประมาณ 5,000 ปี่ก่อน ค.ศ. เป็นการเริ่มต้นยุคประวัติศาสตร์ยังให้ความหมายไม่ชัดเจน  มองภาพอารยธรรมของมนุษย์ไม่ชัดพอ  แต่เราจะเรียกว่ายุคที่มนุษย์เริ่มรู้จักการใช้ตัวอักษรเขียนหนังสือครั้งแรก  ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของความก้าวหน้าครั้งใหญ่ว่าอย่างไร  ถ้าหากไม่เรียกว่ายุคประวัติศาสตร์เริ่มต่นเราความจะมองปัญหานี้ต่อไป




ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือประวัติศาสตร์โลก 

ยุคหิน

     นักประวัติศาสตร์ได้แบ่งยุคตามความเจริญที่มนุษย์รู้จักเอาทรัพยากรของธรรมชาติมาสร้างเครื่องมือและเครื่องใช้ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ออกเป็นยุคต่างๆ  เช่น ยุคหิน  ยุคบรอนซ์ และยุคเหล็ก

     "ยุคหิน" ตามที่นักประวัติศาสตร์กำหนดไว้กลายเป็นช่วงเวลายาวนานที่สุด  "ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์" และเป็นยุคที่สร้างความยุ่งยากซับซ้อนมากที่สุดให้กับนักศึกษาประวัติศาสตร์อารยธรรมของมนุษย์

     ความยุ่งยากของยุคหิน

     ถ้าหากเรามิได้ศึกษาเรื่องจุดกำเนิดของมนุษย์  หรือประวัติความเป็นมาของมนุษย์แล้วเอา "นิยาม"  ของนักวิทยาศาสตร์ที่กำหนดไว้ว่า "มนุษย์คือผู้รู้จักสร้างเครื่องมือ" มากำหนดยุคทางประวัติศาสตร์อย่างที่นักโบราณคดีได้กำหนดไว้นานแล้วว่า  "เครื่องมือทำด้วยหินที่ค้นพบคือเครื่องมือของมนุษย์" จึงเป็นเรื่องของความผิดพลาดและไม่ถูกต้อง

     ก่อนอื่นเราจะต้องยอมรับและเข้าใจเสียก่อนว่ามนุษย์สมัยใหม่แบบปุจจุบันคือโฮโมซาเปียนเริ่มต้นเกิดมาบนโลกนี้ เมื่อประมาณปี 50,000 ก่อน ค.ศ. ดังนั้นการศึกษาประวัติศาสตร์หรือการแบ่งยุคทางประวัติศาสตร์ของมนุษย์จึงต้องแก้ไขใหม่  ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ความจริงเริ่มต้นเมื่อมนุษย์แบบปัจจุบันเกิดขึ้นเมื่อ 50,000 ปีมาแล้ว  ช่วงเวลาที่เลยจากนั้นไปไม่ใช้เรื่องราวของมนุษย์พันธุ์ปัจจุบันแต่เป็นเรื่องราวหรือประวัติศาสตร์ของโฮมินิดพันธุ์อื่นๆ ซึ่งไม่ใช้โฮโมซาเปียน

     ดังนั้นยุคประวัติศาสตร์ของมนุษย์จึงควรเริ่มต้นเมื่อมนุษย์พันธุ์ปัจจุบันเกิดขึ้น  กล่าวคือ "ยุคประวัติศาสตร์" เริ่มต้นเมื่อประมาณ 50,000 ปีก่อน ค.ศ. ถัดจากนั้นขึ้นไปเป็น "ยุคก่อนประวัติศาสตร์" เครื่องมือทำด้วยหินทุกชิ้นที่มีอายุเกินกว่า 50,000 ปีขึ้นไปเป็นเครื่องมือหินของมนุษย์คนละพันธุ์กับมนุษย์แบบปัจจุบัน และเป็น "พันธุ์" ที่สาบสูญไปหมดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีลักษณะเป็นสัตว์คล้ายมนุษย์ หรือมนุษย์วานรมากกว่าจะเป็นมนุษย์จริงๆอย่างมนุษย์ในปัจจุบัน

     หากว่าเราแบ่งยุคประวัติศาสตร์ของมนุษย์  เริ่มต้นตั้งแต่มนุษย์ที่แท้จริงเกิดขึ้นความชัดเจนจะชัดเจนมากขึ้น  เราจะทราบได้ทันทีว่า "ยุคหิน" ที่เคบแบ่งไว้ครอบคลุมเวลายาวนานตั้งแต่ยุคหินเก่า ยุคหินกลาง และยุคหินใหม่ มีช่วงเวลายาวนานทั้งสิ้นตั้ง 2 ล้านปีถึง 10,000 ปีก่อน ค.ศ. นั้นความจริงควรเป็นการแบ่งเวลา ยุคประวัติศาสตร์ของเครื่องมือหิน มากกว่า โดยมีคำอธิบายประกอบว่าเครื่องมืออายุ 2 ล้าน - 1 ล้านปีเป็นเครื่องมือของโฮมินิดพันธุ์หนึ่ง  เรียกว่าออสตราโลพิธีคัสสัตว์ครึ่งลิงครึ่งมนุษย์ทำไว้ เครื่องมือหินอายุตั้งแต่ 1 ล้านปี- 250,000 ปีเป็นเครื่องมือที่โฮมินิดอีกพันธุ์หนึ่งมีรูปร่างเป็นมนุษย์วานรมากกว่า เรียกว่าโฮโม อีเลคตัสทำไว้  ส่วนเครื่องมือทำด้วยหินมีอายุตั้งแต่ 250,000 - 50,000 ปีก่อน ค.ศ. เป็นเครื่องมือของมนุษย์นีนเดอร์ธัล ซึ่งเป็นมนุษย์คล้ายปัจจุบันมาก(แต่ก็ไม่ใช้มนุษย์อย่างปัจจุบันที่แท้จริง)ได้ทำไว้ เครื่องมือหินอายุตั้งแต่ปี 50,000 ก่อน ค.ศ.จนถึงปัจจุบันจึงจะถือว่าเป็นเครื่องมือหินของมนุษย์

     การกำหนดไว้ดังกล่าวจึงเป็นการกำหนด "ประวัติศาสตร์เครื่องมือ" ตามสภาพความเป็นจริง ไม่ใช้เอามารวมไว้เป็นประวัติศาสตร์ของมนุษย์  แล้วกำหนดให้ช่วงเวลาอันยาวนานตั้งแต่ 2 ล้านปีมาแล้ว  ว่าเป็นช่วงเวลาของมนุษย์ที่รู้จักทำเครื่องมือด้วยหิน  ซึ่งความจริงได้พิสูจน์ออกมาให้เห็นอย่างชัดแล้วว่า มนุษย์ที่แท้จริงอย่างมนุษย์ที่เห็นๆ  กันอยู่ในปัจจุบันเพิ่งเกิดมาเมื่อประมาณ 50,000 ปีมานี้เอง


ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือประวัติศาสตร์โลก 

เผ่าพันธุ์มนุษย์ (Race of Mandkind)

     ประชากรของโลกประมาณปี 40,000 ก่อน ค.ศ. ทั้งหมดอาจมีอยู่ประมาณ 10 ล้านคนเท่านั้นนักวิชาการบางท่านกล่าวว่าในยุคมนษย์นีนเดอร์ธัลมี "มนุษย์พันธุ์นี้อยู่เพียง 20,000 คนในดินแดนฝร่างเศส"

     ตามหลักของวิชาชีววิทยามนุษย์ทั้งหมดคือสมาชิกอยู่ในพันธุ์เดียวกัน  แต่มีรูปร่างหน้าตาแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยระหว่างคนหนึ่งกับอีกคนหนึ่ง (ยกเว้นแฝด) ความแตกต่างกันระหว่างมนุษย์ที่มองเห็นได้ชัด เช่น สีของผิวหนัง รูปร่างของดวงตา และ ฯลฯ มิใช่เป็นสิ่งแสดงว่ามิได้เป็นมนุษย์ เรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญเพราะมีบางคนมีความเห็นว่าความแตกต่างกันระหว่างรูปร่างหน้าตาของมนุษย์แสดงให้เห็นความแตกต่างทางเชื้อชาติ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมรดกทางกายภาพเรื่องนี้ปัจจุบันทราบกันดีแล้วว่าไม่เป็นความจริง  ความแตกต่างกันระหว่างพฤติกรรมของมนุษย์เชื้อชาติต่างๆ เป็นความจริง แต่ก็มีสาเหตุมาจากการมีขนธรรมเนียม และวิถีทางการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกัน

     อย่างไรก็ดีความแตกต่างกันทางกายภาพ  ได้แบ่งมนุษย์ออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ เรียกว่าเผ่าพันธุ์หรือเชื้อชาติของมนุษย์  นักวิมยาศาสตร์ส่วนมากแม้จะสามารถแบ่งแยกเผ่าพันธุ์มนุษย์ออกไปได้มากมาย  แต่ก็ยอมรับว่าประชากรของโลกแบ่งได้ออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ 3 เชื้อสาย คือ

     1.นีกรอยด์ (Negroid)
     2.คอคาซอยด์ (Caucasoid)
     3.มองโกลอยด์ (Mongoloid) 

     ประชากรเชื้อสายหรือเผ่าพันธุ์นีกรอด์เป็นพวกมีผิวหนังสีดำมาก  มีขนดก และมีขนาดความสูงแตกต่างกันมาก  มีจมูกโตค่อนข้างแบนและริมฝีปากหนา  ประชากรเหล่านี้ส่วนมากมีถิ่นกำเนิดในแถบเส้นศูนย์สูตรของแอฟริกา  แต่บางกลุ่มมาดำเนินชีวิตอยู่หลายปี  ในบริเวณมหาสมุทรอินเดียเลยไปจนถึงบริเวณเกาะนิวกินี เกาะฟิจิ  และหมู่เกาะฟิลิปปินส์  เลยไปกระทั่งแม้บนเกาะทาสมาเนีย

     ประชากรคอคาซอยด์ก็กระจัดกระจายกันครอบคลุมบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลมาตั้งแต่ยุคแรกๆ  ส่วนใหญ่จะอยู่ทางเหนือของบริเวณที่อยู่ของชาวนีกรอยต์ ในแอฟริกาเหนือ ยุโรป และเอเซียตะวันตก  ประชากรเผ่าคอคาซอยด์ถูกเรียกว่า "ชาวผิวขาว" ทั้งๆ ที่คนเชื้อสายนี้มีสีผิวสีต่างๆตั้งแต่สีขาวจนถึงน้ำตาลไหม้  พวกคอคาซอยด์ในอินเดียและศรีลังกามีผิวดำ  แต่มีลักษณะอื่นๆเหมื่อนกับประชากรในยุโรป เช่น จมูกเป็นสันตรง ผมเหยียดหรือหยิก  มีเคราดก และ ฯลฯ

     ประชากรเชื้อสายมองโกลอยด์มีผิวหนังแตกต่างกันตั้งแต่มีสีเหลืองจนถึงสีน้ำตาลไหม้มีผมสีดำเหยียดตรง มีเคราเล็กน้อย ใบหน้าแบน นัยน์ตาเรียว คนเชื้อสายมองโกลอยด์อยู่ในบริเวณเอเซียกลาง จีน และ ญี่ปุ่น และยังขยายลงมาทางใต้ถึงมาเลเซียและอินโดนีเซีย

     นักวิชาการส่วนมีความเห็นว่าชาวอินเดียแดงในทวีปอเมริกาเหนื่อ-ใต้ และบริเวณหมู่เกาะกลางทะเลคาริเบียนคือชาวมองโกลอยด์ที่เดินทางจากเอเซียข้ามช่องแคบแบริ่งไปยังทวีปอเมริกาเมื่อประมาณ 30,000 ปีก่อน ค.ศ.

     ปัจจุบันคนทั้ง 3 เผ่าพันธุ์แพร่ขยสยคลุมบริเวณส่วนใหญ่ของโลกไว้เกือบทั้งสิ้น และบางครั้งก็ผสมผสานกัน  แต่ยังมีประชากรอยู่อีกหลายกลุ่ม  โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางซีกโลกใต้มิสามารถจัดอยู่ในคนทั้ง 3 กลุ่มเชื้อชาติดังกล่าว  อย่างเช่นชาวพื้นเมืองเดิมในออสเตรเลียและชาวบุชแมนในทะเลทรายกาลาฮารี  แต่ว่าเมื่อมองดูทั่วๆ  โลกในปัจจุบันจะพบว่าโลกประกอบด้วยประชากร 3 กลุ่มใหญ่ ทางเชื้อสายเผ่าพันธุ์ดังกล่าวทั้งสิ้น  ดังนั้นการหาเหตุผลว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นและเกิดการแบ่งแยกออกเป็น 3 เผ่าพันธุ์ใหญ่เมื่อใด  นับตั้งแต่โฮโมซาเปียนหรือมนุษย์แบบปัจจุบันเกิดขึ้นมาบนโลกนี้เมื่อประมาณ 50,000 ปีมาแล้วจึงเป็นเรื่องน่าสนใจยิ่ง

     หลักฐานที่เหลือทิ้งไว้สำหรับการพิสูจน์ปัญหาดังกล่าวมีไม่มากนัก  ดังนั้นนักวิชาการจึงต้องอาศัยการสันนิษฐานเป็นส่วนใหญ่  ทั้งนี้ก็เพราะว่าร่างการมนุษย์นอกจากกระดูกแล้วสูญสลายไปอย่างรวดเร็วเมื่อมนุษย์ตายไป  เมื่อผ่านกาลเวลาไปนานถึง 50,000 ปีจึงทิ้งหลักฐานสำคัญคือโครงซากกระดูก  ผิวหนัง  เส้นผม  ซึ่งเป็นสิ่งแสดงถึงความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์จะผุพังไปอย่างรวดเร็ว  เราจึงมองเห็นแต่โครงกระดูกของมนุษย์สมัยนานมาแล้ว  แต่ร่างกายที่จะทำให้เราแน่ใจว่ามีรูปร่างลักษณะเช่นใดที่ขุดค้นพบก็มักจะมีอายุนับถอยหลังเพียงไม่กี่พันปี  ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มนุษย์มีความแตกต่างกันทางเชื้อชาติเผ่าพันธุ์แล้ว

     อย่างไรก็ดีปัญหานี้มีหลักฐานอย่างชัดเจนอยู่ประการหนึ่งคือ  ประชากรทั้งโลกทั้ง 3 กลุ่มใหญ่ "ปรากฎ" ขึ้นเพราะบริเวณสภาพแวดล้อมแตกต่างกัน  มนุษย์จึงปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมเช่นบรรยากาศ  อาหาร  ระดับความสูงละติจูล และ ฯลฯ เรื่องเหล่านี้มนุษย์ต้องเรียนรู้เพื่อความอยู่รอดในสภาพการเช่นนั้น ตัวอย่างเช่นในบริเวณอากาศหนาวคนที่มีไขมันมากย่อมมีโอกาศอยู่รอดได้ดังนั้นชาวมองโกลอยด์จึงมีลักษณะเช่นนี้  พวกคอคาซอยด์ซึ่งอยู่บริเวณที่มีความอบอุ่นกว่าไม่ต้องการไขมันมาก   และไม่ต้องมีผิวหนังสีดำเหมือนอย่างพวกนิโกรไว้ป้องกันแสงแดดเพราะแสงแดดในยุโรปและเอเซียตะวันตกไม่ร้อนจัด


ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือประวัติศาสตร์โลก 


     

วันศุกร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2557

โฮโมซาเปียน (Homo Sapien) มนุษย์แบบปัจจุบัน 50,000 ปีก่อน ค.ศ.ถึงปัจจุบัน


     เมื่อกล่าวถึง "พันธุ์" แล้ว มนุษย์แบบปัจจุบันนี้เรียกว่าโฮโมซาเปียน(Homo Sapien) ซึ่งอาจวิวัฒนาการมาจากมนุษย์นีนเดอร์ธัล  หรือจากสายวิวัฒนาการของโฮมินิดอีกสายหนึ่งก็อาจเป็นได้
     
     โฮโมซาเปียนยุคใหม่  หรือมนุษย์แบบปัจจุบันมีประวัติความเป็นมาเริ่มต้นเมื่อประมาณ 50,000 ปีก่อน ค.ศ. ซึ่งอยู่ในช่วงกลางๆของยุคน้ำแข็งยุคสุดท้ายของโลก (ยุคน้ำแข็งเวอร์ม 80,000 - 10,000 ปีก่อน ค.ศ.) นักวิทยาศาสตร์ค้นพบร่องรอยมนุษย์ (โฮโมซาเปียน) แบบปัจจุบันครั้งแรกว่าเคยอยู่ในบริเวณเมื่องลีแวนต์ (Levant) ในบริเวณตะวันออกกลางและบริเวณบอลข่าน เมื่อประมาณ 50,000 - 40,000 ปีก่อน ค.ศ. บางทีมนุษย์ในบริเวณดังกล่าวเคลื่อนตัวไปทางเหนือเมื่อน้ำแข็งถดถอยไปทางเหนือในช่วงเวลาต่ามาจึงเข้าไปอยู่ในยุโรปตะวันตก  ซึ่งเรียกมนุษย์พวกนี้ว่า "มนุษย์โครมาญอง" (Cromagon Men) ตามสถานที่ค้นพบจึงถือว่ามนุษย์เหล่านี้คือบรรพบุรุษของมนุษย์แบบปัจจุบัน เพราะมีรูปร่างและขนาดของกะโหลกศรีษะ  รวมทั้งพฤติกรรมอื่นๆ อย่างเดียวกับมนุษย์ขณะนี้หลังจากมนุษย์"โครมาญอง"จึงแพร่มาถึงบริเวณ ตะวันออกไกล
     

     ประมาณ 30,000 ปีก่อน ค.ศ. มนุษย์เมื่อแพร่มาถึง  ตะวันออกไกล แล้ว มนุษย์อีกกลุ่มหนึ่งก็เดินทางต่อไป  แล้วข้าวบริเวณ ช่องแคบแบริ่ง (Bearing Strait) เข้าไปอยู่ทางทวีปอเมริกา  ซึ่งเป็นดินแดนที่ไม่เคยมีโฮมินิดพันธุ์ใดเลยเข้ามาอยู่ก่อน  หลังจากนั้นอีก 15,000 ปีต่อมาลูกหลานของคนเหล่านั้นจึงค่อยๆ แพร่ไปอยู่ตลอดทวีปอเมรีกาเหนือ - ใต้  และบริเวณเกาะใกล้เคลียงและเรียกคนพวกนี้ว่าชาวอินเดียแดง  ในขณะเดียวกันมนุษย์พวกหนึ่งเดินทางข้างช่องแคบแบริ่งไปอยู่ในทวีปอเมริกาก็มีมนุษย์อีกพวกหนึ่งเดินทางผ่านเอเชียอาคเนย์ผ่านดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน  ข้ามทะเลติมอร์ (Timor Sea) เข้าไปยังออสเตรเลีย (เป็นชาวพื้นเมืองของออสเตรเลียในปัจจุบัน) และบริเวณใกล้เคลียง  รวมทั้งเดินทางเข้าไปอยู่บนเกาะต่างๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิค ดังนั้นจึงสรุปว่าประมาณ 30,000 ปี ก่อน ค.ศ. มนุษย์แบบปัจจุบันแพร่ขยายอยู่ทั่วทุกแห่งบนโลกนี้


ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือประวัติศาสตร์โลก 


โฮโมซาเปียน (Homo Sapien)

     โฮโม ซาเปียนหรือมนุษย์ฉลาดวิวัฒนาการมาจากโฮโฮ อีเลคตัส ดังนั้นมนุษย์จึงเริ่มเกิดมาไม่นาน เมื่อเทียบกับโฮมินิดพันธึ์อื่นๆ ที่เกิดมาบนโลกนี้ก่อนโฮโมอีเลคตัส ซื่งเกิดก่อนมนุษย์แบบปัจจุบันและมีชีวิตอยูบนโลกนี้นานถึง 800,000 ปี ในขณะที่มนุษย์แบบปัจจุบันซึ่งเป็นโฮโม ซาเปียนเพิ่งเกิดมาเพียงประมาณ 50,000 ปี เท่านั้น


มนุษย์นีนเดอร์ธัล - โฮโม ซาเปียนยุคเก่า 250,000 - 50,000 ปีก่อน ค.ศ.

     มนุษย์นีนเดอร์ธัลคือโฮโม ซาเปียนยุคเก่า หรือมนุษย์รุ่นแรกๆ ที่วิวัฒนาการมาจากโฮโม อีเลคตัส ปัจจุบันนักวิทยาศาสต์ได้หลักฐานว่าการสิ้นสุดลงของโฮมินิดพันธุ์หนึ่ง กับการเริ่มต้นของโฮมินิดพันธุ์ใหม่มีช่วงเวลาคาบเกี่ยวทับซ้อนกันเป็นเวลาหลายพันปีและเป็นไปไม่ได้ที่โฮมินิดพันธุ์หนึ่งสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว จึงจะมีโฮมินิดพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นมาแทน ดังนั้นจึงมีโฮมินิดหลายพันธุ์อาศัยอยู่กันบนโลกนี้ด้วยกันก่อนมราโฮมินิดพันธุ์หนึ่งจะสูญพันธุ์ไปจนหมด จนมีโฮมินิดพันธุ์ใหม่ทั้งสิ้นเข้ามาแทนที่ จากเหตุผลข้อนี้จึงไม่สามารถกำหนดได้อย่างชัดเจนว่าเวลาใดคือช่วงสุดท้ายของโฮมินิดพันธุ์โฮโมอีเลคตัสและเวลาใดคือการเริ่มต้นของโฮมินิดพันธุ์โฮโมซาเปียน นอกจากจะกล่าวว่าโฮโมซาเปียนเริ่มเกิดขึ้นระหว่าง 250,000 ปี- 50,000 ปีก่อน ค.ศ. และตัวเลขตัวหลังคือโฮโมซาเปียนยุคใหม่


โฮโมซาเปียนยุคใหม่ - มนุษย์แบบปัจจุบัน

     เรื่องราวของมนุษย์นีนเดอร์ธัล เริ่มต้นจากการค้นพบกะโหลกศีรษะมนุษย์ดึกดำบรรพ์ 2 ศีรษะด้วยกัน มีอายุประมาณ 250,000 ปี มาแล้ว ที่นีนเดอร์ธัลใกล้ๆ กับเมืองดุสเซลดอร์ฟ (Dusseldorf) ประเทศเยอรมัน ทั้ง 2 กะโหลกศีรษะที่พบมีลักษณะแตกต่างไปจากกะโหลกศีรษะของโฮโมอีเลคตัส เพราะมีขนาดสมองโตกว่าแต่ก็ยังไม่เท่าสมองของมนุษย์แบบปจจุบันจากหลักฐานนั้นแสดงว่ามีโฮมินิดก้าวหน้ากว่าโฮโม อีเลคตัสอยู่บนโลกนี้ก่อนมีมนุษย์แบบปัจจุบันเกิดขึ้นมา
      เมื่อเกิดยุคน้ำแข็งสมัย"รีสส์"(Riss Glacial) เมื่อประมาณ 200,000 ปีก่อน ค.ศ. ในช่วงนี้นักวิทยาศาสตร์ค้นพบกะโหลกศีรษะอย่างที่พบในบริเวณนีนเดอร์ธัลไม่มากนัก  จนกระทั่งเมื่อยุคน้ำแข็งรีสส์ ผ่านพ้นไปแล้ว คือเมื่อ 150,000 ปีก่อน ค.ศ. ซากโครงกระดูกมนุษย์พวกนี้จึงปรากฎให้เห็นมากขึ้น

     "มนุษย์นีนเดอร์ธัล" ซึ่งตั้งชื่อตามสถานที่ค้นพบครั้งแรกในเยอรมันมีหน้าตาแตกต่างไปจากมนุษย์แบบปัจจุบันครั้งแรกที่ค้นพบทำให้นักวิทยาศาสตร์ในขณะนั้นฉงงนสนเท่ห์มาก และมีความเห็นว่าเป็นกะโหลกของมนุษย์สมัยใหม่ที่โง่เง่าที่สุด  เพราะมีสมองขนาดเล็กและหน้าตาแปลกไปกว่ามนุษย์แบบปัจจุบัน มนุษย์บางกลุ่มที่เรามองเห็นว่ามีหน้าตาแปลกประหลาดและโง่เขลามากนั้น บางทีอาจมีลักษณะใกล้เคียงกับมนุษย์นีนเดอร์ธัล  ดังนั้นจึงไม่มีความแตกต่างกันมากนักระหว่างมนุษย์สมัยใหม่กับมนุษย์นีนเดอร์ธัล

     เนื่องจากเหตุผลที่มนุษย์นีนเดอร์ธัลม่มีความเกี่ยวข้องกับโฮมินิด ในยุคก่อนๆ เช่นโฮโม อีเลคตัส ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์ในขณะที่ค้นพบมนุษย์นีนเดอร์ธัลไม่มากนักจึงมีความเห็นว่า ยุคน้ำแข็งรีสส์ เป็นสาเหตุสำคัญของการตัดขาดมนุษย์นีนเดอร์ธัลจากโฮมินิดพันธุ์ก่อนหน้านั้น แต่ภายหลังที่มีการค้นพบโครงกระดูกมนุษย์นีนเดอร์ธัลมากขึ้นในบริเวณต่างๆของโลกจึงทราบว่าความจริงมนุษย์นีนเดอร์ธัลแพร่หลายอยู่ทั่วบริเวณ โลกเก่า (คือไม่รวมทวีปออสเตรเลียและอเมริกา) เช่น พบว่ามนุษย์พวกนี้เคยตั้งถิ่นฐานอยู่ในยุโรปตะวันตกในแฟริกา เช่นที่มอรอคโค ในประเทศจีนรวมทั้งในบริเวณตะวันออกกลาง เช่นในอิรัค มนุษย์นีนเดอร์ธัลรุ่นแรกๆที่อยู่ในประเทศจีนมีอายุประมาณ 200,000 ปีก่อน ค.ศ. - ประมาณ 80,00 ปีก่อน ค.ศ. ซึ่งเป็นช่วงเวลาเริ่มต้นยุคน้ำแข็งอีกยุคหนึ่ง (เรียกว่ายุคน้ำแข็ง Wurm) ในช่วงนี้ปรากฎว่ามีมนุษย์นีนเดอร์ธัลอยู่ทั้วไปทั้งในยุโรปและเอเซีย

     ในสายตาของมนุษย์สมัยใหม่เช่นมนุษย์แบบปัจจุบัน  อาจของเห็นว่ามนุษย์นีนเดอร์ธัลมีรูปร่างหน้าตาโบราณมาก แต่ถ้ามองดูความสามารถทางสติปัญญาแล้ว จะพบว่าเป็นครั้งแรกของโลกที่มีโฮมินิดก้าวหน้ากว่ายุคสมัยที่ผ่านมารวมทั้งโฮโม อีเลคตัส

     สิ่งแรกที่พิสูจน์ให้เห็ฯขีดความสามารถทางปัญญาของมนุษย์นีนเดอร์ธัลก็คือประมาณ 80,000 ปีก่อน ค.ศ. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มนุษย์นีนเดอร์ธัลแพร่อยู่ทั่วโลกเก่า  ช่วงนนั้นเป็นช่วงเริ่มต้นของยุคน้ำแข็ง ปกคลุมโลกอีกครั้งหนึ่ง ยุคน้ำแข็งนี้เรียกว่า ยุคน้ำแข็งเวอร์ม (Wurm Glacial) ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ 80,000 - 10,000 ปีก่อน ค.ศ. ช่วงนี้อากาศมีความหนาวรุนแรง แผ่นน้ำแข็งคลุมในแดนส่วนใหญ่ตอนเหนือของยุโรป แต่มนุษย์นีนเดอร์ธัลมิได้ถอยหนีน้ำแข็งลงมาทางใต้ มนุษย์นีนเดอร์ธัลที่อยู่ในบริเวณทางเหนืองของยุโรปคงอยู่ต่อสู้กับความหนาวและพื้นดินซึ่งปกคลุมด้วยน้ำแข็งโดยอพยพเข้าไปอาศัยอยู่ภายในถ้ำป้องกันความหนาวด้วยการจุดไฟไว้กลางถ้ำ การอาศัยอยู่ในถ้ำเป็นเวลายาวนานตลอดยุคน้ำแข็งของมนุษย์นีนเดอร์ธัล (ซึ่งสูญพันธุ์ไปประมาณ ปี 50,000 ก่อน ค.ศ.) เช่นนั้นเป็นชีวิตที่ไม่สะดวกสบายนักเพราะต้องเผชิญกับควันไฟอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่แสดงให้เห็นความฉลาดของมนุษย์นีนเดอร์ธัลอีกประการหนึ่งก็คือถ้ำที่พวกตนเลือกเข้าไปอาศัยในยุคน้ำแข็งต้องมีแสงแดดเข้าไปตลอดทั่วถ้ำมากที่สุดเท่าที่จะมากได้

     มนุษย์นีนเดอร์ธัลรู้จักสวมเสื้อผ้าทำเครื่องมือด้วยหินซึ่งมีความประณีตยิ่งกว่าโฮมินิดทุกพันธุ์ก่อนหน้านั้นรวมทั้งเครื่องมือทำด้วยหินของโฮโม อีเลคตัส ความก้าวหน้าเช่นนี้แสดงให้เห็นว่ารู้จักใช้คำพูดแสดงความหมายถึงสิ่งต้่งๆ แต่เรื่องนี้นักวิทยาศาสตร์บางท่านโต้แย้งว่า ส่วนของสมองของมนุษย์นีนเดอร์ธัลที่เกี่ยวข้องกับกสนใช้คำพูดยังไม่เดิบโตดีเท่าส่วนอื่นๆของสมอง อย่างไรก็ดีคำพูดคงก้าวหน้ากว่าโฮโม อีเลคตัส ทั้งนี้จะเห็นได้ว่ามนุษย์นีนเดอร์ธัลมีแนวคิดทางด้านนามธรรมเกี่ยวกับปัญหาของชีวิตได้ลึกล้ำกว่ายุคใดของโฮมินิดที่ผ่านมา  กล่าวคือเป็นครั้งแรกที่โฮมินิดฝังศพผู้ตาย นักวิทยาศาสตร์ขุดข้นพบว่าบริเวณใกล้ๆ ซามาร์แคนด์ (Samarkand) ในสหภาพโซเวียตศพของเด็กนีนเดอร์ธัลถูกฝังอยู่ในเขาสัตว์ หลุงฝังศพอีกแห่งหนึ่งในอิรัคเป็นของผู้ชายนีนเดอร์ธัลคนหนึ่ง มีดอกไม้ป่าและหญ้า วางไว้รอบๆศพผู้ตาย  สิ่งที่ค้นพบดังกล่าวมีความสำคัญมากเพราะแสดงให้เห็นแนวคิดและความเชื่อเกี่ยวกับปัญหาของโลกและชีวิตในความนึกคิดของมนุษย์นีนเดอร์ธัล เหตุใดมนุษย์นีนเดอร์ธัลจึงฝังศพผู้ตาย? เหตุใดจึงวางดอกไม้ป่าและหญ้าไว้ในหลุมฝังศพ ? เราอาจไม่ได้คำตอบที่ถูกต้อง แต่เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่ามนุษย์นีนเดอร์ธัลบางกลุ่มเริ่มต้นมีความเชื่อทางศาศนา  เริ่มต้นว่าเชื่อว่ามีชีวิตภายหลังความตายเหมือนอย่างความเชื่อของมนุษย์สมัยใหม่ในยุคแรกๆ นับว่าเป็นการเริ่มต้นของการใช้ความคิดที่กว้างไกลยิ่งครั้งใดของโฮมินิดที่ผ่านมาจากพฤติกรรมทั้งหมดของมนุษย์นีนเดอร์ธัลแสดงว่าเกิดจากสมองของมนุษย์นีนเดอร์ธัลมีขนาดใหญ่กว่าโฮมินิดทุกพันธุ์ของโลกที่ผ่านมา ทั้งของโฮโม อีเลคตัส และเป็นครั้งแรกที่แสดงว่า มนุษย์นีนเดอร์ธัลคือ โฮโมซาเปียนรุ่นเก่า ก่อนมีโฮโมซาเปียนรุ่นใหม่คือมนุษย์แบบปัจจุบันเกิดขึ้นมาบนโลกนี้ แม้มนุษย์นีนเดอร์ธัลจะเกอดขึ้นมาและสูญพันธุ์ไป (เริ่มต้นปรัมาณ 250,000 - 50,000 ปีก่อน ค.ศ.) แต่ก็แสดงว่ามนุษย์นีนเดอร์ธัลประสบความสำเร็จดีกว่า โฮโม อัเลคตัส มนุษย์นีนเดอร์ธัลอาจมีชีวิตอยู่ร่วมสมัยเดียวกับเผ่าพันธุ์โฮมินิดอื่นๆ ซึ่งบางครั้งอาจสมสู่กัน และบางครั้งอาจขัดแย้งกันเป็นเวลานานในที่สุดก็สูญพันธุ์ไป

 ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือประวัติศาสตร์โลก                

วันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2557

ครอบครัวในยุคแรก

       เมื่อโฮโม อีเลคตัสต้องพึ่งพาอาศัยเนื้อเป็นอาหาร ดังนั้นชีวิตจึงผูกพันอยู่กับการล่าสัตว์ และต้องติดตามค้นหาฝูงสัตว์เรื่อยไปในอาณาบริเวณบางแห่งโฮโมอีเลคตัสอาจตั้งถิ่นฐานอยู่นานนับพันปีเพราะเป็นบริเวณที่มีสัตว์เป็นอาหารอุดมสมบูรณ์ ดังนั้นจึงทำให้เกิดการอยู่เป็นครอบครัวแตกต่างไปจาก "ครอบครัว"ของสัตว์โลกทั้วปวง สภาพเช่นนี้หมายความว่าการดำเนินชีวิตของโฮโม อีเลคตัสมีลักษณะใกล้เคลียงกับสถานะมนุษย์มากกว่าออสตราโลพิธีคัสที่สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นบรรดาบุตรของโฮโม อีเลคตัสเมื่อเกิดมาต้องพึ่งพาอาศัยพ่อ-แม่นานกว่าสัตว์โลกอื่นๆสภาพเช่นนี้ก็เช่น่เดียวกันที่ทำให้โฮโม อีเลคตัสดำรงชีวิตในลักษณะใกล้เคียงกับสภาพจริงๆของมนุษย์

 ภาษาและการเรียนรู้

        ชีวิตทางสังคมของโฮโม อีเลคตัสซึ่งเป็นบรรพบุรุษสายตรงของมนุษย์มีสภาพอย่างไรไม่มีใครทราบ แต่หลักฐานที่โฮโม อีเลคตัสทิ้งร่องรอยได้แสดงให้เห็นว่าการสร้างเครื่องมือด้วยหิน การรู้จักใช้ไฟ การล่าสัตว์ การสร้างที่อยู่อาศัย การอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นมาไม่ได้ถ้าหากไม่มีภาษาใช้เป็นสื่อกลางแสดงความหมายและการเรียนรู้ ยิ่งไปกว่านั้นนักวิทยาศาสตร์ยังมีความเห็นว่าโฮโม อีเลคตัสสามารถคิดถึงเรื่องทางนามธรรม(คือแนวคิดถึงสิ่งต่างๆที่ไม่ปรากฎว่ามีตัวตนสัมผัสได้)

       เมื่อนักวิทยาศาสตร์ค้นหาขบวนการทางความคิดของโฮโม อีเลคตัส ก็มีความแน่ใจว่าย่อมมีความแตกต่างไปจากขบวนการความคิดและการกระทำของมนุษย์แบบปัจจุบัน (คือโฮโมซาเปียน)นี้แน่นอน หาไม่แล้วตลอดเวลาที่อยู่บนโลกนี้นานถึงประมาณ 800,000 ปี โฮโม อีเลคตัสคงามารถสร้างอารธรรมใหญ่โตทิ้งไว้ให้เห็นแน่ๆ ไม่ใช้เพียงแต่ทิ้งเครื่องมือทำด้วยหินและกระท่อมเล็กๆเท่านั้น แต่ถ้าหากว่าเรามองดูโฮโม อีเลคตัสในแนวทางกว้างๆก็จะเห็นว่าโฮโม อีเลคตัสมีพฤติกรรมและรูปร่างเข้ามาใกล้ๆมนุษย์ปัจจุบันมากยิ่งกว่าสัตว์คล้ายมนุษย์ก่อยถึงยุคของโฮโม อีเลคตัส โดยทางการภาพขนาดสมองของโฮโม อีเลคตัสมีขนาดเกือบเท่าของมนุษย์แบบปัจจุบัน แม้ว่าลักษณะของหัวกะโหลกจะมีความแตกต่างไปก็ตาม การรู้จักทำเครื่องมือด้วยหิน การรู้จัก สร้างที่อยู่อาศัน การหาที่อยูอาศัยที่ทีอยู่ตามธรรมชาติ เช่นในถ่ำ สิ่งต่างๆเหล่านี้ย่อมใช้ภาษาคำพูดเป็นสื่อกลางในการแสดงความหมายขิงสิ่งต่างๆและงานต่างๆที่จะทำ อาจมีการแบ่งหน้าที่การงานกัน และเรียนรู้ประสบการณ์จากโฮโม อีเลคตัสรุ่นก่อนๆโดยเล่นบอกด้วยคำพูดต่อๆมา แต่ภาษาคำพูดและการเรียนรู้คงอยูในระดับต่ำๆ

      ในช่วงสุดท้ายของยุคโฮโม อีเลคตัส โฮโมอีเลคตัสได้วิวัฒนาการต่อมาเป็นโฮมินิดพันธุ์ใหม่ซึ่งมีความฉลาดลึกล้ำกว่าโฮมินิด ทุกพันธุ์คือกลายมาเป็น โฮโมซาเปียน(Homo Sapien)
และการเกิดของโฮโมซาเปียนนี่เองอารยธรรมของโลกจึงก้าวหน้าอย่างที่ปรากฎในบัจจุบัน



ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือประวัติศาสตร์โลก

เทคโนโลยีแรกของโฮมินิด

      การล่าสัตว์   การล่าสัตว์ขนาดใหญ่ต้องมีความชำนาญ ก่อนอื่นต้องรู้จักนิสัยของสัตว์ที่ต้องการล่า และจะต้องมีวิธีบอกให้ผู้ร่วมมือในการล่าสัตว์รู้ถึงวิธีการล่าด้วย รวมทั้งการบอกเรื่องราวเหล่านี้ให้พวกรุ่นต่อไปรับรู้ ดังนั้นโฮโม อัเลคตัสต้องมีภาษาพูดใช้จึงจะจักการเรื่องสำคัญเช่นนี้ได้ การมีภาษาพูดใช้ย่อมหมายถึงว่ามีการสื่อกลางสากลสร้างความเข้าใจในหมู่โฮโม อีเลคตัสด้วยกัน ในการดักจับหรือล่าสัตว์ขนาดใหญ่ อย่างเช่น แมมมอธ ซึ่งมีขนาดเท่าช้างหรือแรดมีขน ด้วยอาวุธทำด้วยหินหรือไม้เป็นเรื่องยากลำบากยิ่ง ต้องใช้พวกเป็นจำนวนมาก ช่วนกันขับไล่สัตว์ให้วิ่งไปจนถึงพื่นที่ ที่เหมาะสมสำหรับการฆ่า

      เมื่อสัตว์ขนาดใหญ่ถูกฆ่าก็หมายความว่าโฮโม อีเลคตัสมีอาหารจำนวนมากมายไว้บริโภคและนี่คือจุดเริ่มต้นของการมีชัวิตที่สบายขึ้นเล็กน้อย มีเวลาเหลือสำหรับสสร้างสื่งอืนๆต่อไป

      การสร้างเครื่องมือและที่อยู่อาศัย   โฮโม อีเลคตัสได้ทิ้งหลักฐานไว้เห็ฯเห็นว่านอกจะอาศัยอยู่ภายในถ่ำแล้วยังรู้จักสร้างที่อยู่อาศันขึ้นมา นับว่าเป็นผลงานครั้งแรกจองโฮมินิด นอกจากนั้นยังรู้จักสร้างของใช้จากไม้ เช่น รู้จักสร้างหอหทำด้วยไม้ และสร้างภาชนะด้วยไม้คือชามไม้ การประดิษฐ์และสร้างสิ่งต่างๆเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของสังคม ซื่งไม่เคยมีมาก่อนในโฮมินิดพันธุ์ก่อนๆรวมทั้งออสตราโลพิธีคัส และโฮโม ฮาบิลิส เป็นการเริ่มต้นของงานสร้างสรรค์ เหมือนอย่างผลงานของมนุษย์แบบปัจจุบัน คือเริ่มต้นมีจุดมุ่งหมายก่อนที่จะสร้างงานครั้งนั้นออกมา

      การรู้จักใช้ไฟ   ความก้าวหน้าทางเทคนิคและวัฒนธรรมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของโฮโม 
อีเลคตัสคือการรู้จักใช้ไฟ หลักฐานชิ้นแรกที่แสดงว่าโฮโม อีเลคตัสรู้จักใช้ไฟได้มาจากการค้นพบ"มนุษย์ปักกิ่ง"ที่ถ่ำเกาโจเทียนใกล้ๆกรุงปักกิ่งในประเทศจีน"มนุษย์ปักกิ่ง"คือโฮโม 
อีเลคตัส อย่างไรก็ดีไม่มีหลักฐานแสดงว่าโฮโม อีเลคตัสที่ปักกิ่งผลิตไฟขึ้นได้เอง เพียงสันนิษฐานว่าอาจเอาไฟที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติมาใช้ และการรู้จักใช้ไฟนำประโยชน์มากมายมาให้โฮโม อีเลคตัสเพราะไฟได้ให้ความอบอุ่นและแสงสว่างครอบครัวของโฮโม อีเลคตัสจึงสามารถมีชีวิตอยู่ได้ในบริเวณที่มีอากาศหนาวการอาศัยอยูาในถ่ำมีความสะดวกเพราะไฟหน้าถ่ำ นอกจากจะให้ความสว่างยังช่วยขับไล่สัตว์ร้ายไม่ให้เข้ามาในถ่ำ และการใช้ไฟยังถูกนำไปใช่ไล่สัตว์ในการออกล่าอีกด้วย

      การใช้ไฟประกอบอาหารเป็นการเริ่มต้นทำให้การกินอาหารง่ายขึ้น และที่สำคัญก็คือสิ่งต่างๆ ที่ไม่สามารถย่อยได้ขณะยังดิบ อาหารจำพวกพืชที่รสไม่ดีเมื่อนำมาปรุงอาหารด้วยไฟกลายเป็นอาหารที่มีรสชาติที่ดีขึ้น ดังนั้นจึงทำให้โฮโม อีเลคตัสมีอาหารมากขึ้น และจำนวนชาวโฮโม อีเลคตัสจึงทวีมากขึ้นการรู้จักใช้พืชมาประกอบอาหารทำให้โฮโม อีเลคตัสเรียนรู้ชีวิตพืชอย่างหยาบๆ เช่นรู้ว่าพีชชนิดใดมีประโยชน์และชนิดใดไม่มีประโยชน์ไม่สามารถนำมาประกอบอาหารได้และในที่สุดเมื่อเกิดนิสัยกินอาหารประกอบด้วยไฟแล้วรูปแบบของฟันและใบหน้าของโฮโม อีเลคตัสก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม


      การรู้จักใช้ไฟและผลงานอื่นๆของโฮโม อีเลคตัสแสดงให้เห็นว่าโฮมินิดพันธุ์นี้เริ่มรู้จักควบคุมโลกตามธรรมชาติ และมีชีวิตสะดวกสบายบนโลกนี้มากกว่าโฮมินิดพันธุ์ออสตราโลพิธีคัส โฮโม อีเลคตัสมีอิสระในการเลือกการดำเนินชีวิตทีดีขึ้น ดังนั้นโฮโม อีเลคตัสจึงก้าวข้ามมาใกล้ความเป็นมนุษย์ในความแตกต่างระหว่างลิงกับมนุษย์ อย่างไรก็ดีสังคมแคบๆ และง่ายๆ ของโฮโม อีเลคตัสซึ่งอาศัยอยู่บนโลกนี้ประมาณ 800,000 ปีนั้นเป็นการดำเนินชีวิตที่แสนยากเข็ญและทุกข์ทรมานเมื่อเปรียบเทียบมาตรฐานการนำเนินชีวิตของมนุษย์แต่ก็เป็นการดำเนินชีวิตที่ดีกว่าออสตราโลพิธีคัสดังนั้นจึงอาจกล่าวได่ว่าโฮโม อีเลคตัสยื่นอยู่ที่จุดกลางระหว่างออสตราโลพิธีคัสกับมนุษย์


ข้อมูลจาก หนังสือประวัติศาสตร์โลก

โฮโมอีเลคตัส (Homo Electus)

     ประมาณ 2 ล้านปีก่อน ค.ศ. ปรากฎว่ามีโฮมินิดพันธุ์ไหม่ค่อยๆขยายตัวอย่างช้าๆแล้วแพร่ไปทั่ว"โลกเก่า"(ไม่รวมออสเตรเลียและอเมริกา)โฮมินิดพันธุ์ใหม่ในช่วงแรกระหว่า 2-1 ล้านปี ก่อน ค.ศ.เรียกพันธุ์โฮโม ฮาบิลิส(Homo Habilis) แปลว่า"มนุษย์ฉลาด"แล้วต่อมาวิวัฒนาการไปเป็นโฮมินิดอีกพันธุ์หนึ่งในช่วงปี 1,000,000-250,000 ก่อน ค.ศ.เรียกว่าพันธุ์โฮโม อีเลคตัส (Homo Electus มนุษย์ลำตัวตรง)
      เรื่องราวของออสตราโลพิธีคัสกับโฮโม ฮาบิลิสมีหลักฐานไม่มานักแต่พอถึงช่วงประมาณ 1,000,000 ปี-250,000 ปีก่อน ค.ศ.ซึ่งเป็นช่วงเวลายาวนานเกือบ 800,000 ปี มีมนุษย์วานรคล้ายๆมนุษย์ปัจจุบันมากกว่ามนุษย์วานรในยุคก่อนๆอาศัยอยู่ทั่วไปใน"โลกเก่า"คือทั้งในแอฟริกา ยุโรป และเอเซีย

      แห่งแรกที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบโฮโม อีเลคตัส ได้แก่ชวา เรียกว่ามนุษย์ชวา (Java Man) และต่อมาเมื่อค้นพบที่ปักกิ่ง (Peking Man)เรียกว่ามนุษย์ปักกิ่ง และพบที่ไฮเดลเบิร์กเรียกว่ามนุษย์ไฮเดลเบิร์ก(Hidelberg Man)ฯลฯ ความจริง"มนุษย์" ตามชื่อเรียกของสถานที่ค้นพบดังกล่าว"ไม่ใช้มนุษย์แบบปัจจุบัน"หากเป็นโฮมินิดอีกพันธุ์หนึ่งเรียกว่าพันธุ์อีเลคตัส และสูญพันธุ์ไปหมด เมื่อมีมนุษย์แบบปัจจุบันยุคแรกๆเกิดขึ้นประมาณปี 250,000 ก่อน ค.ศ.
ความแตกต่างระหว่างโฮโม อีเลคตัสกับสัตว์คล้ายมนุษย์ก่อนๆเช่น ออสตราโลพิธีคัสอับโฮโม ฮาบิลิส ได้แก่เรื่องขนาดของสมองและขนาดรูปร่าง

      นักวิทยาศาสตร์สามารถ"แกะรอย"ค้นพบสถานที่อยู่ของโฮโม อีเลคตัส คือ "ขวานมือ"ทำด้วยหิน ซึ่งเมื่อค้นพบขวานมือเช่นนี้ที่ใดก็แสดงว่าโฮโม อีเลคตัสเคยอาศัยอยู่บริเวณนั้นมาก่อนการที่โฮโมอีเลคตัสมีชีวิตอยู่บนโลกนี้นานประมาณ 800,000 ปี(1,000,000-250,000 ปีก่อน ค.ศ.) แสดงว่าโฮโม อีเลคตัสประสบความสำเร็จในการดำรงชีวิต ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าโฮโม อีเลคตัสมีสอมงเกือบเท่าสมองมนุษย์ในยุคปัจจุบันและมีขนาดโตกว่าโฮมินิดรุ่นก่อนๆ

      อย่างไรก็ดีแม้ว่าโฮโม อีเลคตัสจะเป็นโฮมินิคคนละพันธุ์กับมนุษย์ปัจจุบัน แต่โฮโม อีเลคตัสสามารถสร้างระบบสัมแบบง่ายๆขึ้นมาจนเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในช่วง 1,000,000 ปี - 100,000 ปีก่อน ค.ศ. ดังนั้นเรื่องขีดความสามารถของโฮโม อีเลคตัสจึงเป็นเรื่องที่ได้รับความน่าสนใจจากนักวิชาการมาก
      
     
   
ข้อมูลจาก หนังสือประวัติศาสตร์โลก 
     

วันอังคารที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2557

ประวัติความเป็นมาของมนุษย์


 ออสตราโลพิธีคัส (Australopithecus)


     ร่องรอยแรกที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบได้มาจาก แอฟริกาใต้ และ แอฟริกาตะวันออก บริเวณโอลดูไว ยอร์ช ซึ่งตั้งอยู่ในแทนซาเนียในแอฟริกาปัจจุบันเป็นที่ค้นพบกระดูกสัตว์คล้ายมนุษย์ในบริเวณโอดดูไว ยอร์ช คือจุดเริ่มต้นของการศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาของมนุษย์การค้นพบในตอนแรกๆดูเหมือนว่าไม่ใช้สิ่งที่น่าสนใจนักเพราะเป็นการค้นพบกองกระดูกกลายเป็นหินจำนวนไม่มาก แต่เมื่อเอามาศึกษาอย่างละเอียดนักวิทยาศาสตร์จึงพบว่ากองกระดูกกลายเป็นหินเหล่านี้คือสัตว์ประหลาดประมาณ 20 ร่างซึ่งไม่เคยมีใครพบมาก่อนเลยตั้งชื่อว่าลิงแหล่งแอฟริกาใต้-ออสตราโลพิธีคัสและเมื่อนำมาคำนวนอายุก็พบว่ามีอายุอยู่บนโลกนี้ประมาณ 1.2 ล้านปีมาแล้ว

     จากกองกระดูกที่กลายเป็นหินทำให้นักวิทยาศาสตร์พบว่าออสตราโลพิธีคัสมีส่วนสูงเกินกว่าหนึ่งเมตร มีตะโพก ขา และเท้า ที่คล้ายมนุษย์มากกว่าของลิง แต่กะโหลกศีรษะเหมือนลิง มีขนาดสมองโตเท่ากับขนาดของลิงกอริลา เดินตัวตรงและวิ่งได้ตามพื้นดินอย่างที่ลิงไม่สามารถกระทำได้ มือมีนิ้วเช่นเดียวกับมนุษย์ สิ่งที่สำคัญยิ่งจากการค้นพบนี้ก็คือนักวิทยาศาสตร์สามารถรู้ถึงพฤติกรรมของมนุษย์วานรออสตราโลพิธีคัส คือรู้ว่ามนุษย์วานรพวกนี้อยู่เป็นกลุ่ม อาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกันเป็นเวลานาน และกินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร และเนื่องจากไม่พบหลักฐานการใช้ไฟในบริเวณที่มนุษย์วานรพวกนี้ตั้งถิ่นฐานอยู่ จึงสันนิษฐานว่าออสตราโลพิธีคัสกินเนื้อดิบๆเป็นอาหาร นอกจากนั้นยังพบว่าออสตราโลพิธีคัสรู้จักสร้างเครื่องมือ ทั้งนี้ก็เพราะว่าจากการขุดค้นในบริเวณ โอลดูไว ยอร์ช ค้นพบหินต่างๆ ที่มนุษย์วานรพวกนี้นำมาจากบริเวณส่วนอื่นๆ ซึ่งเมื่อเอาหินเหล่านี้มากระเทาะก็จะได้เครื่องมือตัดอย่างหยาบๆใช้มือจับตัดสิ่งของนับว่าเป็นเครื่องมือชิ้นแรกของโลกเกิดขึ้นในบริเวณโอลดู ไว ยอร์ช จากการประดิษฐ์ของมนุษย์วานรออสตราโลพิธีคัสเป็นการเริ่มต้นเทคโนโลยีสร้างเครื่องมือด้วยหิน ยุคหินแรกสุด เกิดขึ้นมาในช่วงนี้ต่อมาเครื่องมือทำด้วยหินจึงได้รับการพัฒนาให้ก้สวหน้ายิ่งขึ้นไปเรื่อยๆจากมนุษย์วานรยุคต่ามา
     การค้นพบที่ โอลดูไว ยอร์ช ยังมีปัญหาบางอย่างที่ยังไม่มีข้อยุติ ปัญกาแรกก็คือว่ามนุษย์วานรออสตราโลพิธีคัสคือบรรพบุรุษสายตรงของมนุษย์หรือไม่ ที่แน่นอนก็คือออสตราโลพิธีคัสคือ โฮมินิด(Hominid สาขาคล้ายมนุษย์ ส่วนโอมินอยด์สาขาคล้ายลิงเรียกว่าพอนกิน Pongid)
แต่ก็อาจเป็นคนละพันธุ์ของต้นตระกูลมนุษย์ก็เป็นได้คือพันธุ์ใกล้เคลียงกับบรรพบุรุษโดยตรงของมนุษย์เท่านั้นเพราะถึงแม้จะมีลักษณะบางประการเหมือนอย่างของมนุษย์ในยุคถัดมากมัน แต่ก็มีรูปร่างบางอย่างแตกต่างไปจากมนุษย์มาก โดยเฉพาะกะโหลกศรัษะ ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์บางท่านจึง สันนิษฐานว่าออสตราโลพิธีคัสอาจมีบรรพบุรุษร่วมกันในอดีตของมันกับมนุษย์ กล่าวคือทาง ออสตราโลพิธีคัสกับมนุษย์อาจวิวัฒนาการมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน  
     ปัญหาดังกล่าวกลายเป็นปัญหาซับซ้อนและยุ่งยาก เพราะการค้นพบในช่วงหลังๆ ของนักวิทยาศาสตร์ทำให้เกิดปัญหาสำคัญขึ้นมา 2 ประการด้วยกัน ปัญหาแรกผลมาจากการค้นพบใหม่ๆทำให้นักวิทยาศาสตร์มีความเห็นว่าออสตราโลพิธีคัสอาจมีหลายพันธุ์ ปัญหาที่สองในบริเวณอื่นๆของแอฟริกาตะวันออก เมื่อไม่นานมานี้นักวิทยาศาสตร์ได้หลักฐานว่าในช่วงเวลาเดียวกันมีทั้งออสตราโลพิธีคัสและมนุษย์วานรอื่นๆมีรูปร่างคล้ายมนุษย์มากกว่า อาศัยอยู่ในแอฟริกา จากการค้นพบเช่นนี้จึงสรุปว่าเมื่อ 2-3 ล้านปีมาแล้ว ไม่ใช้ว่ามีออสตราโลพิธีคัสเท่านั้น หากแต่ยังมีโฮมินิดพันธุ์อื่นๆด้วยและเนื่องจากว่ามนุษย์วานรเหล่านี้มีรูปร่างคล้ายกับมนุษย์จึงถูกจัดอยู่ในตระกูล"โฮโม"(ภาษาลาตินคือมนุษย์)


ข้อมูลจาก หนังสือประวัติศาสตร์โลก